“เจต-จิรวิวัฒน์ เจริญปิยบุตร”แบ่งปันประสบการณ์ “ทำอย่างไร..ถึงได้เกษียณ (ในวัย32ปี) จากคน GEN Y ยุค 90 ถึง GEN X, Z”

#รีวิวยาว#แบ่งปันประสบการณ์ว่า...
ทำอย่างไร..ถึงได้เกษียณ
#ในวัย32ปี#เป็นบทเรียน#แนวคิดให้น้อง รึใครๆ
บทความนี้เป็นเพียงการบอกเล่าเรื่องราวส่วนตัวเพื่อเป็นประสบการณ์ให้กับน้อง ๆ (ตามมุมมองของ อ.เจต เท่านั้นนะครับ)
ในฐานะครูผู้ก่อตั้ง #ค่ายปั้นหมอ
(รวมถึง รร.มัธยมเตรียมแพทย์แห่งแรกของประเทศไทย ที่กำลังเป็นกระแส)
หรือเพื่อให้เราได้รู้จักกันมากขึ้นนั่นเอง
เพราะการวางแผนชีวิตวันนี้นั้นสำคัญ
มันคือ “จิ๊กซอชีวิต” ในอีก 5-10 ปีถัดไป
ไม่ว่าอนาคตน้องจะได้เป็นหมอหรือไม่
#ความสำเร็จ ของคนเรามีได้หลายทาง

มา…เริ่มได้ 📍
1.เดิมทีผมเป็นลูกชายคนกลางในครอบครัวข้าราชการในจังหวัดพัทลุง คือ ไม่รวยแต่พอมีกินมีใช้ (มีหนี้) แต่ก็ถือว่ามีโอกาสที่ดีเพราะพ่อแม่ (ในด้านของการถูกบ่มเพาะที่เข้มข้น กดดัน และโอกาสทางการศึกษาในสิทธิ์แบบฉบับของลูกข้าราชการ)

2.สมัยเรียนก็เป็นเด็กตั้งใจ รักดี เป็นผู้นำ (แต่ขี้อายนะ สั่นทุกครั้งที่ต้องพูดหน้าห้องเรียน) กระตือรือร้นให้ตนเองมีความสามารถในการช่วยเหลือครอบครัวและแบ่งเบาภาระเขาได้ (ด้วยปัญหาหลายอย่างของทางบ้านและความอยากมีโอกาสที่ดีเหมือนเพื่อนอีกหลายคนที่เขามี ๆ กัน *ในความคิดแบบเด็ก* ซึ่งเราคิดว่าการศึกษานี่ล่ะคือเครื่องมือในการต่อยอดอนาคต) (คิดแบบนี้ได้ตั้งแต่ ป.3)

3.เพราะความไม่รวยเหมือนครอบครัวเพื่อน ๆ (ที่เราเห็นในตอนมัธยม) กลับทำให้เรารู้สึกว่าต้องดิ้นรนทางการศึกษาจนสามารถเป็นผู้นำ / ตัวแทน / ผู้เข้าร่วม / ผู้คว้ารางวัล รึใด ๆ ในทุกสนามแข่งขันทางวิชาการของ รร., จังหวัด, ภูมิภาค, ประเทศ ในหลาย ๆ สนาม (นับไม่ถ้วน) รวมถึง 1 ในนั้นคือมีโอกาสได้แตะสนาม สอวน.(โอลิมปิกวิชาการ) คนแรกของ รร. (รึปล่าวจำไม่ได้) ตามประสาเด็กบ้านนอกในสมัยมัธยม ซึ่งทุกสนามทำให้ผมได้เปิดหู เปิดตา เปิดโอกาส นั่งรถบัส รถตู้ รถไฟ เป็นตัวแทนแทบทุกวิชาไปเมืองกรุง (เพิ่งรู้ว่ากรุงเทพก็มีลมหนาวในแบบที่พัทลุงไม่เคยมี 55+) เห็นความเจริญและความแตกต่างทางโอกาสที่สุดจะเกินบรรยายในสังคม รึแค่เรื่องเล็ก ๆ อย่างทำไมเรามีโอกาส แต่เพื่อน ๆ หลายคนกลับไม่มีโอกาสในเวทีแข่งขันใหญ่ ๆ สวย ๆ อลังการ…ที่มีแต่คนที่เขาเก่งกว่าเราแบบลิบลิ่วเลย (อายนะ แต่ใจสู้ เพราะถ้าไม่สู้จะยิ่งอาย)

4.ต่อมา ด้วยความที่นิสัยอยู่เฉย ๆ ไม่เป็น ก็ชอบขวักไขว่ทำทุกสิ่งในสมัยเรียนมหาวิทยาลัย เช่น ก่อตั้งชมรมใหม่ ๆ ที่ไม่มีงบจัดสรร ที่ต้องล่ารายชื่อนักศึกษาเองด้วยตัวคนเดียว (ที่พอเราออกเขาก็ยุบ) ก่อตั้งโครงการ/ผลงานมากมาย เป็นผู้นำกิจกรรม รวมถึงการทำงานเสริมระหว่างเรียนตั้งแต่ปี 2 (เพราะเป็นคนใช้เงินเก่งแต่ไม่อยากรบกวนทางบ้าน ในเมื่อเรารู้ตัวว่าใช้เงินเก่ง ก็แค่ต้องหาเงินให้เก่งกว่าด้วย) เช่น รับสอนพิเศษแบบจัดหนัก (ชั่วโมงละ 100 บาท ×15ชม./วัน จนขาดเรียนที่มหาลัยบ่อย อันนี้ไม่แนะนำนะ) จนกระทั่งสามารถเปิดสถาบันกวดวิชาเองในจังหวัดใกล้เคียงรวม 3-5 สาขา (เจอผีหลอกด้วย) ในตอนปี 3 แล้วต่อยอดด้วยธุรกิจร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านคาเฟ่ ร้านอินเตอร์เน็ต ร้านเกมส์ ห้องสตูดิโอ ออฟฟิตแบ่งเช่า ห้องประชุมสัมนาให้เช่า ห้องสอนพิเศษให้เช่า หอพักให้เช่า ฯลฯ … นับไม่ถ้วนจากการต่อยอดทุกอย่าง (ในปีเดียว) จนมีรายได้ขณะเรียนปีละ 2-3 ล้านบาท (ประมาณปี 2554-2555) แต่ก็ด้วยมือใหม่จึงล้มลุกคลุกคลานจนติดลบหนักหนาสาหัสก็เคยผ่านมาแล้ว แย่สุดก็โดนเจ้าของตึกเช่ามาล็อคประตูตึก ออกไม่ได้ ต้องปีนรั้ว ซึ่งแทบทุกสิ่งที่เล่ามาก็แอบทำโดยไม่ค่อยจะเล่าครอบครัวให้ต้องมาหนักใจช่วยเหลือนัก (แต่ก็มีบ้างแหละ) แล้วต้องแอบยืมเงินเพื่อนในมหาลัยคนละ 200-1พัน × 20 กว่าคนมาจ่ายค่าเช่า บ้างก็มีรุ่นพี่ใจถึงให้ยืมถึง 2-6 หมื่น (คงเอ็นดูและเชื่อใจเรา)

5.ด้วยความที่ตั้งหลักได้ ว่าเรามีความถนัดในด้านงานสอน (มิใช่งานอื่นใดที่เราไปแอบต่อยอดตามประสาคนเห่อที่เพิ่งจะมีเงินล้าน) จึงต่อยอดงานหลักแค่ทางเดียว จนค่อนข้างมีชื่อเสียงในระดับหนึ่ง (มาก) (คู่ขนานกับการเรียนมหาลัย เพราะถ้าเราอยู่เฉย ๆ จะรู้สึกว่าไม่มีคุณค่า) ก็ต่อยอดเป็นกิจกรรม/มหกรรม (EVENT) ทางการศึกษาที่ใหญ่มาก ๆ (1-4พันคน/รอบ) ในระดับภูมิภาค (ใต้) จนมีรายได้ ×10 เท่า/เดือน (มากกว่าการสอนพิเศษในเวลาที่เท่ากัน) …สิ่งที่ทำให้เราต่อยอดได้ดี ไม่ใช่ตัวเงิน แต่คือใจรักในการสอน การดีใจเมื่อเห็นศิษย์ต่อยอดได้โดยสรรพกำลังและประสบการณ์ที่เรามี การเห็นแววตาน้อย ๆ ของเขายิ้มได้หลังจากโดนดูถูกจากที่อื่นมา (เพราะผมชอบสอนและให้โอกาสเด็กที่เรียนยังไม่ค่อยเก่ง แต่มีฝัน มีความตั้งใจ มีเป้าหมายชัด) การได้รับคำขอบคุณจากผู้ปกครองที่เทียบคุณค่าไม่ได้ (แค่ผลไม้หิ้วมาวันละ 1 ถุงก็น้ำตาไหลแล้ว) มิเช่นนั้นใครจะทนทำในสิ่งเดิมได้นานเมื่อเรามีทั้งเงินและโอกาสมากพอแล้ว บวกกับผมก็เคยสอนหนังสือเด็ก ๆ ในลานจอดรถที่บ้านจนอยู่ในสายเลือดมาตั้งแต่ ม.4 เพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว

6.เมื่อเราจับจุดได้ในสิ่งที่เรารักและถนัด จึงไปต่อได้เรื่อย ๆ จนหาที่สุดไม่เจอ รวมถึงโอกาสในการถูกรับเชิญเป็นอาจารย์พิเศษที่เยอะมาก ๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นโครงการขนาดใหญ่ แต่จะบอกว่าเป็นวิทยากรหรือใด ๆ ก็ไม่เชิง เพราะเขาให้เราเป็นผู้รับผิดชอบโปรเจคไปเลยทั้งโครงการ ดูแลทุกสิ่งด้วยตัวเราเอง จากองค์กรระดับใหญ่ที่หลากหลาย (ไม่ขอเอ่ยนาม) นักเรียนหลายพันคน แต่สิ่งหนึ่งที่อาจจะเป็นหน้าที่เล็ก ๆ แต่ภูมิใจมาก คือ การได้ไปรับผิดชอบดูแลและสอนเสริมเป็นอาจารย์พิเศษในคณะแพทยศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่ง (ชื่อดัง) สำหรับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ 1 โครงการแพทย์ชนบท (CPIRD-ODOD) ด้วยความเชื่อมั่นและความประทับใจจากเหล่าผู้ปกครอง/อาจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ช่วยเหลือกันมา หรือพูดง่าย ๆ ว่า ผมได้ดีเพราะแรงใจจากเด็ก ๆ และผู้ปกครอง 1,000,000%

7.เวลาในแต่ละปีของผม อาจเท่ากับ 5-10 ปีของคนทั่วไปก็ได้ ซึ่งแลกมาด้วยอะไรที่ไม่อาจเล่าได้หมด (เว้นแต่จะเขียนเป็นหนังสือออกมา) เพียงแต่หลังจากนั้นก็แค่รู้สึกเบื่อ อิ่มตัว รึสบายเกินไปในสิ่งเดิม ๆ (รึอาจจะไม่ตื่นเต้นอีกแล้ว ไม่ใช่เพราะจะรวยอะไรหรอกนะ 55+) จึงคิดว่าเราเพียงพอแล้วกับกรอบเดิม ๆ จึงขอโลดแล่นมากขึ้นโดยการมอบโอกาสแก่เด็กไทยจำนวนมหาศาลที่แลดูห่างไกลจากคำว่า “ความฝัน/โอกาสที่ถูกต้อง” จนเป็นที่มาของ “ค่ายปั้นหมอ” ด้วย Story อะไร ๆ อีกมากมายที่เราผ่านพบ นอกเหนือจากคำว่าเงินและความสบายกาย ซึ่งขอใช้คำว่าเป็นค่ายหมอ (ที่ไม่ใช่โดยคณะแพทย์ของรัฐ ซึ่งผมก็มีประสบการณ์ตรง) แห่งแรกของประเทศไทย แม้ปัจจุบันจะมีหลากหลายสถาบันกวดวิชาล้อเลียนขึ้นมาเป็นดอกเห็ด จริงบ้าง ไม่จริงบ้าง รึลอกเลียนชื่อไปจนผมต้องติดต่อขอความเห็นใจก็มากอยู่

8.ขอข้ามช็อตเลย (เรื่องราวเยอะ รวมถึงการได้ทำงานเพื่อสังคมจนได้ตำแหน่ง “หัวโขน” อะไรต่าง ๆ มากมาย แต่ก็เป็นเพียงสิ่งนอกกายที่มิได้ทำให้เราลืมตัว) เพราะจากนั้นสิ่งนี้ก็กลายเป็นโครงการที่คนไทยโดยทั่วไป (กลุ่มการศึกษา) ค่อนข้างรู้จัก รวมถึงอีกหลาย ๆ โครงการ ซึ่งหลายอย่างก็ฝ่าวิกฤติ (ฉีก) กรอบความคิดคนไทยไปเยอะ จึงโดนกระแสผ่านสื่อ แทบทุกช่องทีวี ดราม่าแทบทุกทาง (จากการส่งเสริมเด็กแบบเฉพาะทางจนเกินไป หรืออื่น ๆ อีกหลายโครงการ)

จากนั้นก็ได้มีการหารือกับผู้ใหญ่ที่เคารพ รวมทั้งการมีที่ปรึกษาที่ดี (อาจารย์ผู้อาวุโสสำหรับผม) ในวงการแพทยสภาถึงสิ่งที่ควรจะเป็นสำหรับการศึกษาเพื่อเตรียมนักเรียนสู่แพทย์ จนผมกลายเป็น 1 ในผู้ร่วมก่อตั้ง “โรงเรียนมัธยมเฉพาะทางเตรียมแพทย์” ซึ่งก็ยังเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในตอนนี้ (หลายคนก็ยังไม่รู้เลยว่าผมเป็นใคร อ.เจต ผอ.เจต หรือครูเจต เพราะไปมีบทบาทแทบทุกจุดจาก 0-100)

เพียงเพราะ Passion ที่อยากทำในสิ่งที่ฝัน ในอุดมคติที่อาจไม่เคยมีจริงในเมืองไทย (ไม่ใช่จะทำเพื่อธุรกิจดั่งที่ใครคิดเลย แต่ทำเพื่ออยากเอาชนะคำสบประมาทของใคร ๆ และอยากเห็นผลงานความงดงามในบั้นปลายชีวิตจากสองมือของเรา) ส่วนธุรกิจส่วนตัวจริง ๆ คืออย่างอื่นคู่ขนานไป ไม่ได้เดือดร้อนอะไรถึงกับขั้นจะคิดเอาเงินผู้ปกครองมาเป็นกำไรส่วนตัว เพราะตลอด 3 ปีที่ผ่านมา รร.นี้ก็ให้ทุนนักเรียนจนขาดทุนไปปีละ XX กว่าล้าน รวม ๆ ขาดทุน XXX กว่าล้าน แต่ก็ต้องเดินต่อให้สุด คนไทยทั้งประเทศเขาจ้องมองอยู่ และ รร.ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไรขนาดนั้น กลับภูมิใจด้วยซ้ำในงบประมาณทุกบาทที่ลงทุนไป

9.ที่เล่ามาก็ถือว่ารัว ๆ ข้ามช็อตไปเยอะ เพราะยังมีเรื่องราวระหว่างทาง / โอกาส / อุปสรรค / ความโชคดี / จุดดิ่งสุด-จุดสูงสุด ฯลฯ ซึ่งเราขอเรียกมันว่า “ประสบการณ์” ที่ทำให้เราเป็นเราจนวันนี้ด้วยแนวคิดตกผลึก 10 อย่าง คือ
– จงโฟกัสในสิ่งที่รักและถนัดก่อนเสมอ
– จงทำตัวให้พร้อมรับโอกาสตลอดเวลา
– จงเปิดรับทุกโอกาสแม้จะนอกกรอบ
– แม้นไม่มีโอกาสก็จงสร้างขึ้นมาเอง
– จงจริงใจต่อตนเองและใครก็ตาม
– จงอย่าท้อต่อเป้าหมายที่วางไว้ แต่ต้องปรับตัวให้ทันถ้าเจอทางตันขึ้นมา
– จงคิดที่จะให้ ก่อนที่จะรับจากใคร
– จงปล่อยวางให้เป็นและปรับตัวให้เก่ง
– จงทำตัวเป็นที่รัก อย่าคิดว่าโลกหมุนรอบตัวเรา อย่าคิดว่าใครจะมาแคร์เรา
– จงคิดเสมอว่าความสุขอยู่ระหว่างทาง มิใช่ปลายทาง เพราะมันอาจไม่มีอยู่จริง
(ที่พูดมา ไม่ได้มีแนวคิดเรื่องเงินเลยในคอนเซปทั้ง 10 ข้อ เพราะสำหรับผมมันเริ่มจาก 0 ผมจึงไม่ชอบเวลาใครอ้างว่าเริ่มต้นอะไรไม่ได้ โดยสาเหตุมาจากเงินตั้งต้น…แต่งินมันจะตามมาทีหลังเอง ถ้าคุณมีสารตั้งต้นที่ดี)

10.สุดท้ายนี้ ผมจะบอกว่านิยามของการเกษียณของผม คือ เกษียณจากสิ่งใดก็ตามที่จะต้องดิ้นรนเพื่อตัวเอง เกษียณจากกรอบทุกสิ่ง (ในเชิงพฤตินัยก็เป็นเช่นนั้น ผมมีรายได้หมุนเวียนในการใช้ชีวิตแบบอิสระที่พอเพียงสำหรับผมในระยะยาว) เพราะได้ (กล้า) ทำทุกสิ่งที่อยากทำ ได้ลองมีทุกสิ่งที่อยากมี (แม้บางอย่างก็สูญไปแล้ว ครั้งหนึ่งเงิน 60 ล้านหายในพริบตาก็เคยมีจากความผิดพลาด) อีกทั้งทุกสิ่งที่มีอยู่ก็สามารถที่จะเป็นไปได้ด้วยตัวของมัน หาเลี้ยงด้วยตัวของมัน หรือมีทางเป็นไปของมันเองแม้ไม่มีผม (เพราะแม้ผมจะรวยกว่านี้ผมก็กินข้าวมื้อละ 40-100 บาท คือ ข้าวราดผัดกะเพราไข่ดาวไม่สุก และโค้กหนึ่งแก้ว) เพราะถ้ารอให้รวยพันล้านก็กินแบบเดิม (ของแพงไม่ได้อร่อยกว่า มันอยู่ที่รสนิยม สุดท้ายขอแค่กินอิ่ม นอนหลับ ซึ่งผมพิสูจน์แล้ว) หรือถ้าจะรวยเพิ่มเติมก็อาจจะใช้เงินกับสิ่งไร้สาระกว่านี้ เคยนอนให้เบื่อไปข้างนึงแล้ว มันก็เบื่อจริง ๆ 55+

ทุกวันนี้ที่ยังหาอะไรทำ ยังต้องรันงานอะไร ๆ ก็เพราะสัจจะวาจาว่าเราจะช่วยคนรอบข้างและองค์กรให้เติบโตก้าวหน้าประสบความสำเร็จให้มากยิ่งขึ้นไป
รึอาจจะอยู่เฉยไม่เป็น ชอบคิดทำอะไรสนุก ๆ มีชาเลนจ์ใหม่ ๆ ให้ตัวเองตราบใดที่ยังมีลมหายใจ (ตามนิสัยส่วนตัว เพราะความคิดมันไม่สิ้นสุด) ก็เป็นเพียงความสุข ความสนุกของชีวิต ทำให้เด็ก ๆ รากหญ้าคนธรรมดาทั่วไป (แบบเรา) ได้มีโอกาสในสิ่งที่อาจเป็นไปไม่ได้ และคนไทยยังอาจได้เห็นอะไรดี ๆ จากคนที่ชื่อ…
“จิรวิวัฒน์ เจริญปิยบุตร”

#ตำแหน่ง ผมเยอะแยะ แต่ก็ไม่ต้องจำ
#ตำนาน ต่างหาก ที่ผมอยากจะย้ำ
ในคำสั้น ๆ ที่เรียกว่า “พี่เจต”
20 สิงหาคม 2566
#กรุงเทพมหานคร
#ประเทศไทย
แล้วคุณล่ะ 📍
#จิ๊กซอชีวิต ของคุณเป็นเช่นไร ?
ได้วางแผนล่วงหน้าไว้แล้วหรือยัง ?
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น…จงสู้
จะแพ้หรือชนะ มันคือ #ประสบการณ์
แต่ถ้าถอย มันคือ #ปม ในใจตลอดไป
#บทความ #แนวคิด #ข้อคิด #รีวิว
#STORY #บันทึกความทรงจำ
     

ไม่มีความคิดเห็น